By vicha
นักธุรกิจรุ่นใหม่มักถามถึง "สูตรสำเร็จ" ในการบริหารธุรกิจกับผมเสมอว่าใช้หลักการใด?
สำหรับผมการบริหารธุรกิจนั้นไม่มี ไบเบิล หรือ สูตรสำเร็จ แต่จะยึดหลักคิด 4 ตัวหลักสำคัญ คือ Model, Scale, Leverage และ Strategic ในการบริหาร เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป มาตั้งแต่เริ่มต้นการทำธุรกิจในปี 2537 ถึงปัจจุบัน หากจะอธิบายถึงหลักคิดที่ผมยึดถือมาตลอด เริ่มจากตัวหลักสำคัญตัวแรก คือ Model หรือ Business Model นั่นคือ หากจะทำธุรกิจใดก็ตามจะต้องเข้าใจถึง Business Model ของธุรกิจนั้นๆ ก่อนว่า เป็นธุรกิจประเภทใด มีใครเป็นคู่แข่ง มีความเสี่ยงในแง่มุมใดบ้าง มีโอกาสจะเติบโตหรือไม่ เพราะการทำธุรกิจใดก็ตามจะต้องมีการเติบโต
ที่สำคัญต้องถามตัวเองว่ามีความถนัด หรือชอบในธุรกิจนั้นหรือไม่ด้วย ยิ่งหากเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ ก็ยิ่งต้องศึกษา Business Model ให้ดีว่า องค์ประกอบของการทำธุรกิจมีอะไรบ้าง เรามีความชำนาญหรือไม่ เพราะบางธุรกิจมีการแข่งขันสูงมาก ต้องใช้บุคลากรจำนวนมาก ใช้เงินทุนค่อนข้างสูง ตัวอย่างที่ชัดเจน คงเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกประเภท Discount Store ที่วันนี้มีอยู่เต็มพื้นที่ และยากลำบากสำหรับรายใหม่ที่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ได้ หากต้องการทำธุรกิจนี้ จะต้องใช้เวลาแข่งขันอีกเท่าไรถึงจะมีเท่ากับรายใหญ่ที่มีอยู่เดิมในตลาด สำหรับเมเจอร์ได้เริ่มจาก บิซิเนส โมเดล ที่ถนัด และตรงกับกลุ่มลูกค้า เมื่อเลือก Business Model ได้ถูกต้อง ก็สามารถสร้างการเติบโตได้
จุดเริ่มต้นของเมเจอร์ที่เลือกทำ "เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์" เมื่อปี 2537 เนื่องจากในขณะนั้นไม่มีคู่แข่งทำธุรกิจในรูปแบบนี้มาก่อน ด้วยแนวคิดว่า "จะทำโรงภาพยนตร์ให้เป็นมากกว่าโรงภาพยนตร์" จึงทำให้มีแม่เหล็กเสริมอย่าง โบว์ลิ่ง, โรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ จอยักษ์ 3 มิติเข้ามาด้วย วันที่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เริ่มต้น เราไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็น Leader ของธุรกิจโรงภาพยนตร์ แต่จะเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ เพราะเราต้องการเติบโตด้วย บิซิเนส โมเดลใหม่ที่เป็น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ ในรูปแบบ stand alone ที่มีมากกว่าโรงภาพยนตร์ โดยมีทั้งร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำหลากหลายภายในศูนย์ จึงกลายเป็น Eatertainment (Eat+Entertainment) จะเห็นได้ว่า บิซิเนส โมเดล ของเมเจอร์นั้น ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคือ Esplanade ที่มีแม่เหล็กใหม่เข้ามาเพิ่มอย่าง โรงละครรัชดาลัย เธียเตอร์ และ ไอซ์สเกตติ้ง ฮอลล์
การบริหารธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้อง ส่องกระจก ดูตัวเอง และต้องรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ และเมื่อถูกถาม ก็ต้องตอบได้ว่าทำธุรกิจอะไร ไม่ใช่ตอบไม่ได้หรือไม่รู้ เพราะการทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม จะมีข้อจำกัดเรื่องบุคลากรและเวลา ดังนั้น หากมัวแต่หลงทาง หรือ Direction ของตัวเอง การบริหารก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ
และแม้ว่าได้ศึกษา บิซิเนส โมเดล มาอย่างดีแล้ว กำหนดไดเร็คชั่นของธุรกิจแล้ว แต่เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง มีความเสี่ยงสูง ก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่ามีกำลังพร้อมที่จะแข่งขันหรือไม่
ผมเองก็ไม่ได้เริ่มต้นการทำธุรกิจจาก เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ แต่เริ่มจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก่อน โดยทำอพาร์ตเมนต์ให้ชาวต่างประเทศเช่า แต่ที่มาถึงวันนี้ได้ก็เป็นเพราะ Open Mind ศึกษาทุกโอกาสในการทำธุรกิจว่ามีอะไรบ้าง และไม่ยึดติดกับโมเดลเพียงโมเดลเดียว จุดเริ่มต้นของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป คือ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ แต่วันนี้ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ได้ก้าวสู่ "เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ไลฟ์สไตล์" ที่มีหลากหลายธุรกิจที่สนับสนุน Core Business เพราะเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ไม่ได้ปิดกั้นการพัฒนาโมเดลใหม่ๆ เพราะในโลกธุรกิจปัจจุบันจำเป็นต้องสวมหมวกหลายใบ ไม่ว่าจะเป็น Entrepreneur, Investor, Public Company โดยไม่จำเป็นต้องเป็นหมวกเดียวใบเดียว
ดังนั้น บนข้อจำกัดที่ธุรกิจจะต้องเติบโตด้วยสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยเฉพาะต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกปี และเราจำเป็นต้องกระตุ้นให้ธุรกิจเติบโต แต่หากอยู่ในบิซิเนสโมเดลที่ไม่มีโอกาสเติบโตอีกแล้ว หรือหากต้องใช้กำลังและเวลาเยอะแต่ได้กำไรน้อย จะต้องกลับมาถามตัวเองว่าจะทำต่อไปหรือไม่ ยิ่งในปัจจุบันมีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้หลายประการ ยิ่งมีความเสี่ยงในการทำธุรกิจสูง ดังนั้น นักธุรกิจ นักบริหารจะต้องคิดว่าใน บิซิเนส โมเดล ที่ไม่มีการเติบโต เราควรจะทำต่อไหม
หลายๆ ครั้ง เราก็มักจะบอกตัวเองว่า "ไม่รู้จะทำอะไร" หรือไม่มีทางเลือก ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับวิธีคิดแบบนี้ เพราะผมมีความเชื่อว่า "ทุกที่ มีโอกาส" เสมอ อยู่ที่ว่าเราจะศึกษาหรือค้นหาโอกาสนั้นหรือไม่ ผมมองว่าข้อดีของประเทศไทยคือ มีโอกาสมหาศาล อยู่ที่เราเปิดใจค้นหาหรือไม่
ในตอนต่อไปผมจะอธิบายถึงหลักการคิดตัวสำคัญตัวที่ 2 คือ คำว่า Scale ในมุมมองของผม
credit : http://newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=2445&user=vicha
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น