"การLeverage คือ การนำเอาธุรกิจที่เรามีอยู่ไปต่อยอดร่วมกับพันธมิตร หรือบุคคลอื่นๆ ในรูปแบบต่างๆ ด้วยความพร้อมในจังหวะที่เหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของเราและ ของพันธมิตร"
ตลอดระยะเวลาการบริหาร เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป มากว่า 12 ปี เราได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับธุรกิจอื่นๆ หลากหลายตามแนวคิดแบบ Leverage ที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งการทำธุรกิจในปัจจุบันของหลายๆ ธุรกิจ จะเห็นได้ว่า Revenue ไม่ได้มาจากธุรกิจหลักเท่านั้น แต่มี Revenue จากธุรกิจอื่นๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนและประสบความสำเร็จอย่างมากคือ บริการเคาน์เตอร์ เซอร์วิส ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีรายได้จากการรับชำระค่าบริการต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่การขายสินค้าคอนซูเมอร์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของร้านเท่านั้น
ดังนั้น หากวันนี้เรายังยึดหลักการบริหารแบบเดิมๆ จาก บิซิเนส โมเดล หลักเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการทำ Scale และ Leverage แล้ว คงมีรายได้เข้ามาจากธุรกิจหลักเพียงทางเดียว ซึ่งอัตราการเติบโตของรายได้ก็คงเป็นแบบเดิมๆ ได้กำไรเท่าเดิม และไม่มีอะไร "ตื่นเต้น" ในการทำธุรกิจอีกแล้ว ดังนั้นเราจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการ Leverage ในทุกๆ ด้านที่มีโอกาส เพราะเป็นการพัฒนารูปแบบการทำการตลาดใหม่ๆ ซึ่งทำให้เรามีโอกาสได้ฝึกคิด และตื่นเต้นกับกลยุทธ์ใหม่อยู่เสมอ เช่น ตั๋วชมภาพยนตร์ เราสามารถบริหารให้เกิดมูลค่าเพิ่มได้อย่างไร สามารถเปลี่ยนให้เป็นมีเดียใช้โฆษณาได้ไหม? พื้นที่ล็อบบี้ของโรงภาพยนตร์เราสามารถทำกิจกรรมได้ไหม? ลานกิจกรรมทำให้มีมูลค่าเพิ่มได้ไหม? หรือสามารถเปลี่ยนพื้นที่มาทำเป็นมีเดียได้อย่างไร? ทั้งหมดล้วนเป็นคำถามที่เมเจอร์ฯคิดมาตลอดและหาคำตอบพบแล้วในการบริหาร ธุรกิจวันนี้ ผมว่าเราสามารถคิดการทำกิจกรรมได้ทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มของการใช้พื้นที่เพื่อให้เกิดประโยชน์และสร้าง มูลค่าเพิ่มสูงสุดได้ในเวลาเดียวกัน ทั้งหมดมาจากหลักคิดเรื่องการ Leverage ทั้งสิ้น
หากพิจารณาการทำธุรกิจของเมเจอร์ฯเราใช้หลักการ Leverage ทุกด้าน เริ่มจากที่เรามองลูกค้าเป็น Asset เราไม่ได้มอง "ลูกค้า" ว่าเป็นแค่ "คนมาดูหนัง" ดูจบแล้วก็จากไป แต่เราต้องการให้ลูกค้าใช้เวลากับเรามากขึ้น ใช้เงินกับเรามากขึ้น รักเรามากขึ้น และที่สำคัญต้องมีความสุขที่ใช้เวลาอยู่กับเรามากขึ้น ซึ่งทั้งหมดที่เราต้องการจะทำอย่างไร?
คำตอบก็คือ การเพิ่มมูลค่าให้หลากหลาย จากการทำ Lifestyle Mall ธรรมดา เมเจอร์ฯก็เสริม Entertianment เข้าไปด้วย มีทั้ง ไอซ์สเก็ต โบว์ลิ่ง คาราโอเกะ หรือตั๋วชมภาพยนตร์ก็ยังสามารถนำไปแลกบริการอื่นๆ ได้เพิ่มเติม เช่นเดียวกับธุรกิจของร้านแมคโดนัลด์ ที่จะได้สิทธิพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมจากโรงภาพยนตร์ และการ Leverage ต่อไปของแมคโดนัลด์ นอกจากการส่งเดลิเวอรี่อาหารแล้ว ต่อไปอาจจะส่งแผ่นวีซีดี ดีวีดี ให้ถึงบ้านด้วยก็ได้ ซึ่งถือเป็นการ Leverage ทรัพย์สินที่เรามีอยู่ให้เกิดรายได้
หลักการ Leverage ของธุรกิจต่างๆ จะแตกต่างกันตามประเภทของธุรกิจ แต่ของเมเจอร์ฯ จะอยู่บนพื้นฐานที่ "มองลูกค้าเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงสุด" เมื่อลูกค้ามาอยู่ที่เมเจอร์ฯแล้ว จะทำอย่างไรให้ลูกค้าเห็นหรือได้ประโยชน์จากเมเจอร์ฯมากที่สุด และกลับมาใช้บริการบ่อยๆ
ในการปรับปรุงสาขาเก่าของเมเจอร์ฯ และการเปิดสาขาใหม่ จะมีการพัฒนา Lobby Lounge ให้เป็น Public Lounge ลูกค้าจะเห็นมีเดีย กิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ที่สร้างความบันเทิง สามารถให้ข้อมูลหรือสั่งซื้อบริการจากระบบทัช สกรีน ให้กับลูกค้าได้ตามหลักการ Leverage ทรัพย์สินของเมเจอร์ฯ
นักธุรกิจวันนี้จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการ leverage asset ให้ได้สูงสุด หากหลักคิดนี้บางครั้งไม่ได้อยู่ในความคิดของนักธุรกิจก็จะเป็นเรื่องที่ เสียโอกาสในการบริหารธุรกิจอย่างมาก เพราะจะคิดแค่ว่าจะขายสินค้าหรือบริการเพียงอย่างเดียว แต่หากเปลี่ยนแนวคิดใหม่ก็สามารถเติบโตได้อีกต่อไป
ปัจจุบันบิซิเนส โมเดล ทุกประเภทของเมเจอร์ฯจะมีการ Leverage ซึ่งกันและกัน เราจะไม่มองการทำธุรกิจแต่ละธุรกิจเพียงมุมเดียว และหากทุกคนมีหลักคิด Leverage เชื่อว่าทุกธุรกิจจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่แตกต่างกัน และในความเป็นจริงบิซิเนส โมเดล ทุกประเภทของเมเจอร์ฯก็ไม่ได้ Leverage กันเองตามธรรมชาติ แต่เป็นหลักคิดของผู้บริหารที่ต้องการให้ธุรกิจมา Leverage กัน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านรูปแบบกิจกรรมต่างๆ
หลักการ คิด Leverage เป็น creative ที่ต้องสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง ซึ่งทั้งหมดมาจากแนวคิดและความเชื่อว่า "ทำได้" ซึ่งใช้หลักการคิดเดียวกับการ Convergence ที่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจ และผมเชื่อว่าทุกธุรกิจทำได้ไม่แตกต่างกัน
credit : http://newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=3918&user=vicha
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น