วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552

Strategy

วงจรการบริหารธุรกิจจะมีลักษณะวงกลม เมื่อเดินมาครบทุกสูตรแล้ว ในที่สุดก็จะต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้น คือ การวางกลยุทธ์ (Strategy) เป็นเหมือนการกลับมาทบทวนดูการบริหารของเราอีกรอบว่า กลยุทธ์ (Strategy) ธุรกิจที่เราทำอยู่ เป็นอย่างไรบ้าง มี ข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร เพื่อจะหากลยุทธ์ใหม่ ๆ รูปแบบใหม่ ๆ ในการทำงาน

ในต่างประเทศเราจะเห็นองค์กรต่าง ๆ มีแผนก Strategic Planning เพื่อคอยเช็คสุขภาพธุรกิจขององค์กรนั้น ๆ ว่ายังมีกลยุทธ์ที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้หรือไม่ และเป็นหน่วยงานที่คอยวางแผนสอดส่อง หาช่องทางและโอกาสใหม่ ๆ เข้ามาเติมเต็มให้ธุรกิจ

สำหรับหลักคิด 3 ตัวแรก Model, Scale และ Leverage เรียกได้ว่าเป็น Fundamental เป็นเหมือนกับ Foundation ของเรา นั่นคือ การเริ่มต้นจากอะไร เมื่อถึงจุดหนึ่งยังมี Growth อยู่หรือไม่ ยังสามารถ Leverage ต่อไปได้หรือไม่ หลังจากนั้นต้องมาดูว่า Strategy เป็นอย่างไร
หลังจากนั้นคำถามก็จะวนกลับมาเป็นแบบเดิมว่า "เราจะหาอะไรใหม่ ๆ ให้ธุรกิจ"

หลายธุรกิจจะเดินตามหลักคิดนี้ เช่น ธุรกิจโรงแรม เมื่อเริ่มจากแบรนด์แรกแล้ว ก็มักจะแตกแบรนด์อื่นๆ ตามมาด้วย หลังจากนั้นก็เริ่มจับ Segmentation ถือเป็นเรื่องของ Strategy ไม่ใช่การ Leverage เช่นเดียวกับการทำธุรกิจประเภทหนึ่งและขยายไปทำอีกธุรกิจหนึ่ง ก็เป็นเรื่องของ Strategy เพื่อหายุทธศาสตร์ใหม่ ๆ เข้ามาเติมให้องค์กรเติบโตต่อไปในอนาคต และทำให้ธุรกิจที่เราดำเนินการอยู่มีอะไรใหม่ ๆ เข้ามาอยู่ตลอดเวลา

Strategy เป็นการ Rethink หรือ Focus ว่ายุทธศาสตร์ใดบ้าง ที่ได้เวลาต้องมาอัพเดทให้ก้าวทันสถานการณ์การทำธุรกิจ ซึ่งหลายองค์กรควรจะให้ความสำคัญกับหน่วยงาน Strategic Planning เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เองก็มีหน่วยงาน Strategic Planning ที่จะทำหน้าที่วิเคราะห์ตัวเลขต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ศึกษาพื้นที่การขยายสาขาใหม่ ๆ วิจัยข้อมูลต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา

Strategy เป็นการคิดแบบเชิงกลยุทธ์ ที่สามารถคิดได้จากพื้นฐานธุรกิจเก่า และการพัฒนาธุรกิจใหม่

ในธุรกิจเก่าเมื่อบิซิเนส โมเดล มี Scale ที่เหมาะสมแล้ว และสามารถ Leverage การเติบโตได้ครบทุกช่องทางแล้ว และเมื่อเติบโตได้ถึงจุดหนึ่งก็ต้องคิดต่อว่าจะทำอย่างไร ซึ่งเป็นขั้นตอนของ Strategy ที่ถือว่าเป็น Step of Life ของธุรกิจ ที่ต้องคิดให้ต่อเนื่องกันไป เพื่อให้เกิดวงจรธุรกิจที่ยั่งยืน

Strategy ของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ คือ การกำหนดยุทธศาสตร์การเติบโตในธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะทำกำไรนอกเหนือจาก การขายบัตรชมภาพยนตร์ ที่เป็นธุรกิจหลัก เช่น การร่วมทุนกับ บีอีซี เทโร บริหาร ไทยทิคเก็ตเมเจอร์, ขยายธุรกิจจัดจำหน่าย วีซีดี ดีวีดี เป็นต้น ทั้งหมดเป็นการทำธุรกิจให้ครบวงจรในอุตสาหกรรมนั้น ๆ และเป็นการสร้าง บิซิเนส โมเดล ที่จะทำงานได้ง่ายขึ้น เติบโตได้ง่ายขึ้น แข่งขันได้ง่ายขึ้น หากไม่ทำเช่นนี้ก็จะเป็นโมเดลที่เติบโตได้ลำบาก ทำธุรกิจต่อไปก็เสียเวลา

อีกตัวอย่างที่เป็น Strategy ของ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว คือ การร่วมเป็นพันธมิตรกับ บริษัท พีวีอาร์ ซีนีม่าร์ จำกัด (มหาชน) ประเทศอินเดีย เพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจโบว์ลิ่ง, คาราโอเกะ, ลานสเกตน้ำแข็ง และเกมโซน ภายใต้แบรนด์ Blu-O Rhythm & Bowl ในอินเดีย เนื่องจากผมเห็นว่าอินเดียเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพด้านการขยายตัวและการ พัฒนาประเทศค่อนข้างสูงมาก ประกอบกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคของอินเดียนั้นมีศักยภาพที่เอื้อให้ธุรกิจไล ฟ์สไตล์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ เติบโตได้ดีแห่งหนึ่ง

การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เพราะผมมองว่าตลาดไทยน่าจะมั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ จึงต้องมองการ Leverage ประสบการณ์ในธุรกิจในตลาดอื่น ๆ ที่มีโอกาส จึงเริ่มวางกลยุทธ์ขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ

และเมื่อมีการวางกลยุทธ์ (Strategy) ว่าจะไปขยายธุรกิจในต่างประเทศแล้ว ก็เริ่มต้นที่การกำหนด Business Model จากนั้นต่อไปจะเป็นขั้นตอนการทำ Scale และ Leverage เช่นเดียวกัน หลักคิดทั้ง 4 ตัวที่ผมใช้บริหาร เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ในประเทศไทย ก็จะนำไปใช้วางแผนในการบริหารธุรกิจในอินเดียด้วยเช่นกัน

credit : http://newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=4273&user=vicha

ไม่มีความคิดเห็น: