วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

การจัดการการเงินของธุรกิจ

Money Pro:วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ wiwanbkk@yahoo.com

“การ เงิน” เป็นเรื่อง ที่ผู้บริหารฝ่ายอื่นในองค์เห็นเป็นเรื่องลึกลับ ยากต่อการเข้าใจ และมักรู้สึกว่าเวลาขอเงิน ของบประมาณ ฝ่ายการเงินจะเข้มงวดเหลือเกิน ผู้บริหารหลายๆ ฝ่ายงาน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการตลาด ฝ่ายผลิต หรือฝ่ายสนับสนุนอื่นๆ ไม่ค่อยเข้าใจว่าฝ่ายการเงินเขามีบทบาทหน้าที่อย่างไร

ถ้าจะเปรียบไป “การเงิน” ก็เหมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นรายรับ รายจ่าย กำไร ขาดทุน กิจกรรมทางการตลาดฯลฯ ล้านแต่เกี่ยวข้องกับการเงินทั้งสิ้น การเงินจึงมีความสำคัญมาก และผู้บริหารฝ่ายการเงินถือเป็นผู้บริหารที่มีความสำคัญรองลงมาจากผู้บริหาร ระดับสูงสุด

ในโลกของทุนนิยม เป้าหมายของธุรกิจคือ การแสวงหาผลกำไร และธุรกิจจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนต้องมีผลกำไร ถ้าไม่แสวงหาผลกำไรจะเรียกว่ากิจการที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งจะมีเป้าหมายแตกต่างออกไป หากมีโอกาสดิฉันจะเขียนถึงในภายหลังค่ะ

การเงินกับการบัญชีจะเป็นฝาแฝดกัน มักจะแยกกันไม่ค่อยออก การบัญชีคือการเก็บรวบรวมยอดและรายการเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเงินทั้งหมดของ ธุรกิจ ทั้งการขาย รายจ่าย เจ้าหนี้ ลูกหนี้ สินทรัพย์และหนี้สินของกิจการ โดยงบการเงินที่สำคัญมี 2 งบคือ งบกำไรขาดทุนและงบดุล

งบกำไรขาดทุน เปรียบเสมือนการดำรงชีวิตในแต่ละวัน และจะรวบรวมไว้ดูเป็นรายเดือนและรายปี ว่ามีการใช้เงิน จ่ายเงินอะไรไปบ้าง เมื่อรายรับหักกลบกับรายจ่ายแล้วมีเงินเหลือเป็นกำไรหรือไม่ ในขณะที่งบดุลจะเปรียบเสมือนการฉายภาพไว้ดูสถานะของกิจการ ณ ขณะใดขณะหนึ่ง หรือที่เรียกว่า snap shot เพื่อให้เราสามารถตรวจสอบดูสุขภาพของกิจการว่าแข็งแรงหรือไม่เพียงใด

ฝ่ายการตลาด ฝ่ายผลิต หรือฝ่ายสนับสนุนอื่นๆ ก็ต้องเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเงิน เพราะต้องมีกิจกรรมการหาเงิน ใช้เงิน หรือการลงทุน ทั้งนี้ก็เพื่อเป้าหมายการทำกำไรของธุรกิจนั่นเอง

ถ้ามองไปยาวๆ เป้าหมายของการจัดการทางการเงินก็คืออิสรภาพทางการเงิน ซึ่งถ้าเป็นบุคคลก็จะหมายถึงการมีทรัพย์สิน ไม่มีหนี้สิน มีเงินลงทุนที่ให้ดอกให้ผลไว้ใช้ยามที่เราไม่ได้ทำงานหรือเกษียณแล้ว

สำหรับธุรกิจ อิสรภาพทางการเงินหมายถึงการมีกระแสเงินสดพอเพียงให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่าง ไม่ติดขัด และเป้าหมายสูงสุดคือการไม่มีหนี้สิน กิจการเจริญเติบโต สร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ สามารถจ่ายเงินปันผลคืนให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราที่ดี

ในการจัดการการเงินของธุรกิจ มีงานหลักๆ อยู่ 3 อย่างคือ การจัดหาเงินลงทุนของธุรกิจ การวางแผนและวิเคราะห์การลงทุนของกิจการ และการจัดการสภาพคล่อง ซึ่งในการจัดการจะมีงานอื่นๆ อยู่ด้วย เช่น การวางแผนภาษี การวางนโยบายเทอมการขายที่ให้กับลูกค้า ฯลฯ

การจัดหาเงินลงทุนของธุรกิจหาได้จาก แหล่งใหญ่ 2 แหล่งคือ เงินทุน (Owner’s Equity) และเงินกู้ยืม (Debt) จะใช้แหล่งไหนก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและอัตราเงินปันผลตอบแทน หรืออัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้กับเจ้าของเงิน

โดยทั่วไปกิจการจะใช้เงินกู้ยืมให้ มากเท่าที่จะสามารถใช้ได้ เพราะต้นทุนถูกกว่า และดอกเบี้ยจ่ายถือเป็นค่าใช้จ่ายที่นำไปลดภาระภาษีได้ ในขณะที่การออกหุ้นเพื่อระดมทุนต้องสูญเสียการควบคุมบริษัทไปบางส่วน และเงินปันผลที่จ่ายให้กับผู้ถือหุ้น บริษัทไม่สามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณเงินได้เพื่อเสียภาษีได้

อย่างไรก็ดี การกู้ยืมเงินส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาที่สั้นกว่าการใช้เงินส่วนทุน และส่วนใหญ่ต้องใช้หลักประกัน ดังนั้นจึงต้องพิจารณาด้วยว่าแหล่งเงินทุนนั้นมีระยะเวลาเหมาะสมหรือไม่ ถ้าจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนก็สามารถใช้แหล่งเงินทุนระยะสั้นได้ แต่ถ้าจะใช้ในการลงทุนซื้อทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน หรือสร้างโรงงาน ควรใช้แหล่งเงินทุนระยะยาว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องในภายหลัง กรณีถูกดึงเงินคืน กิจการที่เริ่มต้นใหม่ๆ การคืนทุนอาจจะใช้เวลานาน และอาจจะไม่มีทรัพย์สินไปใช้เป็นหลักประกัน จึงอาจจะยังไม่สามารถกู้ยืมเงินได้ ต้องใช้เงินส่วนทุนไปก่อน จนกว่าจะแข็งแกร่งขึ้น

แหล่งเงินทุนยังแบ่งได้เป็นแหล่งเงิน ทุนภายนอกและทุนภายใน ทุนภายนอกคือ การกู้ยืมหรือการออกหุ้นขาย ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ส่วนทุนภายใน จะเป็นแหล่งที่ไม่มีต้นทุนทางการเงิน แต่อาจจะมีต้นทุนแฝงทางด้านอื่น

กล่าวโดยกว้างๆ แหล่งเงินทุนภายในจะมาจากกำไร และประสิทธิภาพของการจัดการ โดยกำไรที่ได้จากการดำเนินงาน ถ้าไม่จ่ายเป็นเงินปันผลออกไป ก็นำไปใช้ในการขยายธุรกิจได้ รวมถึงการลดความต้องการเงินทุนหมุนเวียนลง เช่น ลดปริมาณสินค้าคงคลัง หรือที่เรียกกันว่าสต็อกสินค้า ลดระยะเวลาการผลิต ให้ผลิตเสร็จเร็วขึ้น เช่นที่ญี่ปุ่นทำการผลิตแบบ Just In Time คือไม่เก็บสต็อกเลย ผลิตเสร็จก็ส่งไปให้ลูกค้า หรือการเก็บหนี้ให้เร็วขึ้น (โดยไม่ให้เสียลูกค้า) หรือการขยายเวลาจ่ายชำระค่าสินค้าหรือวัตถุดิบให้กับเจ้าหนี้การค้า (โดยไม่ให้เสียเครดิต) เป็นต้น

หน้าที่หลักอย่างที่สองคือการวางแผน และวิเคราะห์การลงทุน ธุรกิจจะมีการเติบโตต้องมีการขยายการลงทุนเพื่อเป็นการขยายรายได้ ในการวิเคราะห์ว่าจะลงทุนในโครงการไหน ต้องพิจารณาเปรียบเทียบผลตอบแทนกับต้นทุนที่ลงไป โดยสามารถใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด (discounted cash flow) เปรียบเทียบกับเงินลงทุนที่ต้องใช้ในปัจจุบันได้ โดยคำนวณเป็นกระแสเงินสดสุทธิในปัจจุบันหรือ net present value ถ้ากระแสเงินสดสุทธิเป็นลบ ก็เลิกคิดที่จะลงทุนไปได้เลย ถ้าเป็นบวกและมีหลายโครงการให้เลือก ก็ต้องเลือกที่เป็นบวกมากที่สุดค่ะ

หน้าที่สุดท้ายคือการบริหารสภาพคล่อง การขายต้องทำให้เป็นเงินสดให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้จ่ายเงินให้พนักงาน เจ้าหนี้การค้า สรรพากร และธนาคาร ได้อย่างตรงเวลา จึงต้องมีวิธีการบริหารให้มีประสิทธิภาพ จัดแหล่งเงินให้ตรงกับวัตถุประสงค์การใช้และระยะเวลาที่ต้องการใช้ และไม่ให้เกิดติดขัดขาดสภาพคล่องได้ค่ะ

ทีนี้ท่านเห็นใจฝ่ายการเงินแล้วหรือ ยังคะ ว่าเขาต้องรับบทบาทหนักเพียงใด นั่นเป็นคำอธิบายว่าเหตุใดฝ่ายการเงินจึงไม่ค่อยยิ้ม ถ้าท่านเข้าใจเขา ท่านก็จะช่วยให้ความร่วมมือ และทำให้เขายิ้มออกค่ะ


credit : http://www.bangkokbiznews.com/2008/12/08/news_318150.php

ไม่มีความคิดเห็น: